
เคยมีความคิดมานานแล้วที่จะไปเดินป่าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งเป็นผืนป่าที่ได้ยอมรับว่าเป็นมรดกโลก อันมีพรรณพืช สัตว์ป่าหลากหลายชนิดที่อาศัยอยู่บนพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ จากชื่อเสียงความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติ ทำให้ผมอยากที่จะมาสัมผัสกับผืนป่าแห่งนี้
จากเดิมที่พวกเราได้คุยกันไว้เกี่ยวกับการไปเดินป่า ที่อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ หรือถ้ำธารลอด จ.กาญจนบุรี ซึ่งตั้งใจกันแล้วว่าจะไปที่นั่น แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้มีอันยกเลิกไป

การเดินทางครั้งนี้ (อยากจะเรียกว่าเป็นการผจญภัยน่าจะดูดีกว่านะ) อันมี คุณแซมปัท คุณดาริโอ้ พี่สุวี และผม เริ่มออกจากกรุงเทพตั้งแต่ไก่โห่ (ประมาณตี 5 กว่าๆ) ตลอดสองข้างทางนั้นปกคลุมไปด้วยหมอก เรียกว่าบางช่วงนั้นแทบจะมองไม่เห็นทางเลยก็ว่าได้ ข้างทางบางช่วงนั้นก็มองเห็นนกกินปลาหลายชนิด ที่บินวนเวียนอยู่รอบๆ ท้องทุ่งที่มีน้ำขังอยู่เป็นแอ่งๆ แต่ก็ไม่ยักว่าจะลงไปหาปลา อาจจะยังรอให้หมอกจางละมั้ง (อันนี้ขอเดา ไม่ค่อยจะประสีประสาเรื่องนกซักเท่าไหร่) ไม่นานเท่าไหร่นักพวกเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ประมาณซัก 8 โมงเช้ากว่าๆ กับเส้นทางที่ตัดไปตามไหล่เขาหลายๆ แห่ง ทำให้มองเห็นผืนป่าสองข้างทางที่มีความอุดมสมบูรณ์ และได้ยินเสียงสัตว์ป่าหลายๆ ชนิดร้องบริเวณข้างทาง บ้างก็ลึกเข้าไปในดง
หลังจากที่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เกี่ยวกับเส้นทางเดินป่าเข้าไปยังสถานีตรวจสัตว์ป่าย่อยเขาแหลม อันมีระยะทางจากน้ำตกเหวสุวัตไปยังสถานีนั้นประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งต้องมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้นำทางไปด้วย เพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าช่วงนี้มีพวกลักลอบหาไม้หอม (ไม้กฤษณา ที่เขาเอามาทำหัวน้ำหอม) และอาจจะมีช้างป่าตกมัน (เอาเข้าแล้ว เวรกรรม)

พวกเราเริ่มออกเดินทางไปยังสถานีตรวจสัตว์ป่าย่อยเขาแหลม ก็เกือบจะบ่าย 1 โมง ซึ่งแต่ละคนนั้นก็เตรียมตัวป้องกันทากอย่างดี บ้างก็ใช้ถุงเท้ากันทาก บ้างก็ใช้ยากัน แต่สำหรับผมกับทากนั้นของคู่กัน ผมชอบให้ทากดูดเลือด มันสนุกดีพิลึก (โรคจิตโดยแท้จริง) เมื่อก่อนผมเคยพาเพื่อนคนหนึ่งไปเดินป่า แถวกาญจนบุรี แล้วต้องเดินผ่านดงทาก ซึ่งพากันชูคอสลอนเกือบจะทุกๆ ตารางนิ้ว เพื่อนมันเห็นเท่านั้นแหละแทบช๊อคครับ ต้องบอกมันอยู่นานจึงจะยอมเดินผ่าน เพราะไม่ผ่านดงทาก ก็ต้องผ่านดงเห็บ ซึ่งผมเล่าเรื่องสยองๆ เกี่ยวกับเห็บให้ฟังเท่านั้นแหละ มันจึงยอม (ใครที่เป็นนักเดินป่าจะรู้ดีว่าเห็บนั้นน่ากลัวกว่าทากขนาดไหน)
พวกเราเดินเลาะไปตามริมห้วย โดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นผู้นำทาง และข้ามไปยังห้วยอีกฝั่งหนึ่ง เดินตัดไปตามตีนเขาอันมีต้นไม้ปกคลุมจนดูทึบ ใบไม้แห้งที่ปกคลุมบนพื้นดินนั้นยังชื้นๆ อันเนื่องมาจากฝนที่ตก 1-2 วัน ที่แล้วมา เราเริ่มเดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ กับสภาพป่าที่ต้นไม้แต่ละต้นมีความสูงเสียดฟ้า โดยเฉพาะต้นไทรที่ได้รับสมญานามว่า ” นักบุญแห่งป่า นักฆ่าแห่งพงไพร ” โดยความหมายของมันก็คือ ต้นไทรนั้นเวลามีลูกสุก หรือยอดอ่อน อันเป็นอาหารของสัตว์ป่าหลายๆ ชนิด ทั้งน้อยใหญ่ อันหล่อเลี้ยงหลายๆ ชีวิตเสมือนเป็นนักบุญ แต่ถ้าต้นไทรนั้นขึ้นใกล้กับไม้ยืนต้น ต้นใด ก็จะถูกต้นไทรเกาะและแย่งอาหารจากไม้ต้นนั้นจนกระทั่งแห้งตาย

ช่วงบ่ายโมงนี้ปกติในหน้านี้แล้วอากาศจะค่อนข้างร้อนมาก แต่การที่ได้เดินในดงทึบทำให้พวกเราแทบจะไม่ร้อนเลย จะมีบางช่วงที่ผ่านไปยังป่าโปร่ง หรือไต่ขึ้นไปตามตีนเขาบ้างเท่านั้น การเดินของพวกเราไม่ได้เร่งรีบนัก มองดูทิวทัศน์สองข้างทางไปเรื่อยๆ พอเหนื่อยก็หยุดพักกัน ช่วงนึ่งที่เดินผ่านบริเวณหนึ่งที่เรียกว่า หนองปรือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่นำทางเล่าให้พวกเราฟังว่า บริเวณนี้แต่ก่อนเคยเป็นบ้าน และไร่ของชาวบ้าน แต่หลังจากที่นี่ได้เป็นพื้นที่ของทางอุทยานแห่งชาติแล้ว ก็จำเป็นต้องให้ชาวบ้านย้ายไปอยู่ที่อื่น บริเวณหนองปรือนี้เป็นชัยภูมิที่เหมาะมากแก่การเพาะปลูก ถ้าสังเกตุดูจากภูมิประเทศ และบริเวณชายป่านั้นยังมีโพรงนกเงือกอาศัยอยู่ด้วย
เกือบๆ บ่าย 3 โมง พวกเราก็เดินมาเกือบถึงยังจุดหมาย ซึ่งห่างลงไปอีกประมาณ 500-600 เมตร อันเป็นทุ่งหญ้าที่กว้างขวาง อาจจะเรียกว่าเป็นทุ่งหญ้าที่กว้างที่สุดของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เลยก็ว่าได้ และมีทิวเขาล้อมรอบ ประกอบกับปุยเมฆที่ลอยเด่นทิวเขา อันเป็นทัศนียณ์ภาพที่มีความสวยงามยากที่จะบรรยาย (ว่าไปนั่น) พวกเราหยุดพัก และมองดูภาพนั้นอย่างเพลินใจ สบายอารมณ์ พร้อมที่จะไม่ลืมที่จะถ่ายรูปมาให้ชมกัน (เดี๋ยวจะหาว่าโม้ เอาหลักฐานมาให้ดู… ไม่ได้โม้น้า)

สถานีตรวจสัตว์ป่าย่อยเขาแหลม เป็นสถานที่ค้างแรมที่ทางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เพิ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาพักแรมที่นี่ไม่กี่เดือนที่แล้ว จากสภาพภูมิประเทศโดยรอบแล้ว เป็นทุ่งหญ้ากว้างอยู่ในระหว่างหุบเขา สัตว์ป่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกวาง กระทิง ช้าง
ได้อาศัยทุ่งหญ้าแห่งนี้เป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกกับพวกเราว่า พอหน้าแล้งนั้นทางเจ้าหน้าที่จะทำการเผาหญ้าแห้ง เพื่อที่เวลาฝนตกลงมาจะทำให้ต้นหญ้าออกยอดสบัด อันเป็นอาหารสำคัญสำหรับสัตว์ป่าหลายชนิด
จากช่วงเนินเขาล่าสุดที่พวกเราหยุดพักกันนั้น ใช้ระยะเวลาในการเดินทางมาถึงบริเวณสถานีตรวจสัตว์ป่าย่อยเขาแหลมประมาณ 10 นาที สภาพเส้นทางเป็นทุ่งหญ้าที่โล่งแจ้ง รอบด้านมีภูเขาสูงใหญ่ล้อมรอบ แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นสัตว์ป่าชนิดใดเลย อาจจะเป็นช่วงแต่วันเกินไป บริเวณที่ทำการมีต้นหว้า และต้นโพธิ์ที่กำลังออกลูกสุก ทำให้นก และกระรอกนวล กระรอกท้องแดง กระรอกขาวหลายตัว กระโดดอยู่ไปมา พวกเราเริ่มจัดแจงวางสัมภาระทั้งหมด และนั่งพักซักครู่ และได้ชวนกันไปดูห้างสำหรับส่องสัตว์ป่า แต่ใช้การไม่ได้แล้ว ก็ได้ยินเสียงกวางร้องบริเวณริมห้วย ที่มีน้ำขังอยู่เป็นช่วงๆ พวกเราเดินกันมาจนถึงห้างเก่า เมื่อมองไปทางทุ่งหญ้าด้านหนึ่งก็เห็นฝูงกวางกำลังเล็มกินหญ้า พวกเรามองดูอยู่นานจนลมเปี่ยนทิศทาง ทำให้กวางพวกนั้นผงะออกไป เพราะได้กลิ่นแปลกปลอม

หลังจากนั้นพวกเราก็ได้กลับมายังที่พัก โดยจัดแจงผูกเปลสนาม (เปลผ้าใบ) สำหรับที่จะนอนในคืนนี้พร้อมที่จัดทำอาหารแบบง่ายๆ กินกัน และได้เดินสำรวจทุ่งหญ้าบริเวณนี้ ซึ่งมีรอยเท้าของสัตว์หลายๆ ชนิดโดยเฉพาะ เก้ง กวาง กระทิง เดินผ่านเป็นแนว แต่รอยเท้าค่อนข้างจะเก่าเป็นส่วนใหญ่ ด้านทิศเหนือขึ้นไปหน่อยเจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าบริเวณนั้นเคยเป็นสำนักสงฆ์เก่า แต่ตอนนี้หญ้าบริเวณนั้นรกมาก พวกเราก็ไม่ได้ไปดูกัน
แสงตะวันกำลังที่จะลดต่ำลงเรื่อยๆ พร้อมกับความเย็นที่คืบคลานเข้ามา ผมนอนพักอยู่ในเปลสนาม ส่วนคุณแซมปัท คุณดาริโอ้ และพี่สุวีนั่งคุยกัน เสียงกวางร้องเป็นช่วงๆ บริเวณด้านลำห้วย ผมหลับไปประมาณ 2 ชม ตื่นขึ้นมาก็เตรียมตัวที่จะไปส่องสัตว์กันบริเวณทุ่งหญ้า โดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้นำทางไป พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ ส่องไฟฉายเพื่อมองหาสัตว์ป่าต่างๆ ก็ไม่พบสัตว์ชนิดใดเลย จึงเดินกลับมายังที่พักนั่งคุยกัน ซึ่งท่าทางคืนนี้จะไม่มีสัตว์ออกมาหากินบริเวณนี้เลย ซักพักหนึ่งพวกเราจึงแยกย้ายกันนอน ผมนอนมองดูดาวบนท้องฟ้าจนกระทั่งหลับไป สะดุ้งตื่นมาอีกทีประมาณเที่ยงคืน ซึ่งความหนาวเย็นนั้นทำให้ผมจำเป็ต้องตื่นขึ้นมา มองไปที่กองไฟก็ไหม้มอดจนเกือบหมดแล้ว

ผมขยับตัวลุกขึ้นไปเอาฟืนมาสุมกองไฟให้มันลุกขึ้นใหม่ เพื่อที่จะผิงไล่ความหนาวในตอนนี้ แสงไฟเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนแสงอันอบอุ่น ซักพักหนึ่งคุณแซมปัทก็ลุกขึ้นมา มาผิงไฟด้วย อากาสตอนนี้พูดได้ว่าเย็นมากเรียกว่าแทบนอนไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้มานั่งผิงไฟตรงนี้ พวกเรานั่งผิงไฟ และคุยกันไปเรื่อยๆ ผ่านไป 1-2 ชม จึงต่างแยกย้ายกลับเข้าไปนอนกันใหม่ ผมนอนมองกองไฟจนกระทั่งหลับไป
อากาศในตอนเช้าค่อยๆ คลายความเย็นจากเมื่อคืนนี้ มองไปทางภูเขาต่างๆ ก็มีหมอกปกคลุมอยู่ บริเวณที่พักที่มีต้นหว้าสุก และต้นโพธิ์ เสียงนกและกระรอกกำลังกินลูกไม้กันอย่างเอร็ดอร่อย ความงดงามของธรรมชาติทำให้ผมมองมัน พลางคิดว่าข้อให้เห็นภาพอย่างนี้อยู่ตลอดไป ขอให้อย่าให้มันหมดไปจากโลกนี้เลย…
ณ ช่วงเช้าหมอกหนาปกคลุมป่า
บนต้นหว้าสกุณาร้องเรียกกัน
เหล่ากระรอกหากินอย่างแข่งขัน
ดวงตะวันทอแสงเปล่งชื่นบาน