
ผม,คุณแซมปัท และพี่สุวีวางแผนที่จะไปเดินป่าที่อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสิทร์ (ถ้ำธารลอด) โดยมีจุดหมายจากบ้านผมไปยังป่าดงดิบบริเวณหลังถ้ำธารลอดใหญ่ ผมตื่นมาเตรียมอุปกรณ์และเสบียงตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ และก็โทรนัดเจอ กับพี่สุวีแถวๆสาธุประดิษฐ เพื่อจะไปรวมตัวกันที่บ้านคุณแซมปัทซึ่งอยู่แถวประชาอุทิศ พวกเราเริ่มออกเดินทางกันจริงๆ ก็เกือบจะ 7 โมงแล้ว ซึ่งช้าเกือบจะ 1 ชม จากเวลาที่กำหนดกันไว้ว่าจะออก 6 โมงเช้า พวกเราจะเริ่มออกเดินทางกัน ความช้านี้ก็ได้มาจากคุณแซมปัท เพราะแกบอกว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ และรู้สึกตื่นเต้นมากที่

จะได้เดินป่าเป็นครั้งแรก จากเส้นทางถนนพระราม 2 คุณแซมปัทที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ ตรงไปยังถนนเพชรเกษม มุ่งสู่กาญจนบุรีอันเป็นจุดหมาย พอออกจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปหน่อย พวกเราก็ได้แวะถ่ายรูปที่ค่ายสุรสีห์ อันมีเครื่องบินต่างๆ ที่ใช้ในสมัยสงครามเวียดนามมาตั้งแสดงเอาไว้ จากนั้นก็ได้บึ่งตรงไปยังบ้านผมทันที เพราะเวลาก็สายมากแล้ว ขืนชักช้ามีหวังได้เดินป่าเวลากลางคืนแน่ๆ ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยจะสนุกเท่าใดนัก
เมื่อถึงบ้านผมแล้ว ผมก็ได้เอาเบียงบางส่วนจากบ้าน และหม้อหุงข้าว (แอบจิ๊กของแม่ อิอิ) ซึ่งแต่แรกกะจะเอาหม้อสนามที่ใช้เดินป่าเป็นประจำไป แต่ว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ก็เลยจำใจต้องหิ้วหม้อหุงข้าวที่ใช้เตาถ่านแบบธรรมดา ที่มีหูหิ้วทั้งสองข้างไปแทน ซึ่งเวลาเดินแต่ละทีก็ดังกรุ๊งกริ๊ง (แล้วตูจะได้ดูสัตว์ป่าหรือเปล่านี่ เหอๆๆ) พวกเราเริ่มออกเดินป่ากันจริงๆ ก็เกือบจะ 11 โมงพอดี เวลานี้กำลังร้อนเลยทีเดียว ผมพาเดินเลาะไปตามสวนของอา และก็ได้มีโอกาสจิ๊กผลไม้บางอย่างไป

กินด้วย (อีกแล้ว) จากเส้นทางที่ตัดผ่านสวนเส้นเล็กๆ มุ่งสู่ภูเขาที่มีป่าไผ่รวก สภาพความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้พวกเราคอแห้งไปตามๆ กัน จนมาถึงบนยอดเขาแล้วถึงทำให้พวกเราหายใจได้โล่งคอขึ้น ผมพาเดินไปตามเส้นทางรถที่ทางอุทยานทำเอาไว้จนถึงบริเวณ ถ้ำเม่น จึงอดไม่ได้ที่จะพาพี่สุวี และคุณแซมปัทเข้าไปดูกัน (แต่ความจริงแล้วอยากที่จะไปรับไอเย็นหน้าปากถ้ำมากกว่า เย็นจริงๆ นะ พอๆ กับห้องแอร์เลย) ใครที่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับถ้ำเม่นนี้ก็เข้าไปอ่านข้อมูลคร่าวๆ ได้จากลิ้งที่ทำไว้ละกันครับ ไม่อยากอธิบายอะไรมาก ตอนนี้เหนื่อย -*-

เมื่อนั่งพักสูดความเย็นจนชื่นใจแล้ว พวกเราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อไป เส้นทางสองข้างทางนี้ส่วนมากจะปกคลุมไปด้วยป่าไผ่รวกเป็นหลัก จะมีไม้ยืนต้นต่างๆ แซมอยู่น้อยนิด ส่วนมากก็จะเป็นพวกมะค่าโมง ต้นตีนเป็ด มะกอกป่า เป็นต้นทางที่เดินนั้นไม่ถึงกับลำบากมากนัก สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคในตอนนี้ก็คือความร้อนเพียงอย่างเดียว ตอนแรกแล้วผมตั้งใจจะพาพวกเราเดินไปตามทางรถนี้เรื่อยๆ ไปจนถึงวัดป่าถ้ำธารลอดใหญ่ แต่สภาพอากาศนั้นร้อนเหลือเกิน ซึ่งดูแล้วพวกพี่สุวี คุณแซมปัท นั้นคงจะเดินไม่ไหวกันแน่ กับสภาพอากาศที่ทรหดอย่างนี้ ผมเลยตัดสินใจ พาเดินเลาะไปตามชายเขา เดินเรียบไปตามริมเขาเพื่อให้ถึงลำห้วยที่ไหลไปยังถ้ำธารลอดน้อยให้เร็วที่สุด เพราะอย่างน้อยการเดินใกล้น้ำยังจะเข้าท่ากว่าเดิน

ตามพื้นที่แห้งแล้ง (ใครที่เคยตกอยู่ในสภาพที่หิวน้ำคงจะรู้กันดี) เขาลูกนี้ค่อนข้างจะชันมาก อาจจะเรียกได้ว่าพวกเรากำลังเดินตามขอบเหวชัดๆ อึดใจถัดมาเราก็เดินมาถึงยังพื้นที่ป่าเบญจพรรณจนได้ เสียงน้ำในลำห้วยที่ไหลนั้น ในช่วงเวลานี้มันเปรียบเสมือนเสียงจากสวรรค์อย่างไรอย่างนั้นเลย พวกเราไม่รอช้าที่จะไปล้างหน้าล้างตากันให้สบายใจ และได้นั่งพักชมนกชมไม้ซักครู่ก็เริ่มเดินทางกันต่อไป
เส้นทางยังอีกยาวไกลนัก ผมพาเดินไปตามเส้นทางที่นักท่องเที่ยวใช้เดินไปยังน้ำตกไตรตรึงของอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์นี้ สภาพเส้นทางในตอนนี้มีแต่ขึ้นเขาอย่างเดียว ซึ่งก็เล่นเอาพี่สุวีและคุณแซมปัทแทบจะลมขึ้นกัน จนถึงเนินสุดท้ายแล้วที่จะต้องไต่ไปตามลวดที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานทำเอาไว้ คุณแซมปัทก็บอกไม่ไหวแล้ว ขอนอนพักตรงเนินนั้นก่อน ผมเลยให้แกพักตรงนั้นก่อน และผมเองก็เดินไปสำรวจเส้นทางข้างหน้าไปจนถึงวัดป่าถ้ำธารลอดใหญ่ จึงเดินย้อนกลับมา

ซึ่งก็ยอมรับว่าเหนื่อยแทบขาดใจเหมือนกันครับ เพราะไม่ได้เดินทางอย่างนี้มาหลายปีแล้วเหมือนกัน พี่สุวีกับคุณแซมปัทได้เดินมานั่งรอผมตรงน้ำตกไตรตรึงชั้นสุดท้ายพอดี ผมเลยถามว่าหายเหนื่อยหรือยัง เดินต่อไหวไหม แกตอบรับว่าสบายมาก ผมเลยชี้ไปยังเส้นทางที่จะเดินไปต่อ ซึ่งต้องไต่ขึ้นบันไดและเส้นลวดไปตามเส้นทางนี้ พี่สุวีกับคุณแซมปัทถึงกับกลืนน้ำลายเลยทีเดียว เนินนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นเนินหมาหอบละครับ และสำหรับคนไม่ต้องพูดถึง ซึ่งนักท่องเที่ยวคนใดที่เดินมาจนถึงนี่ละก็ ก็ถือว่าสุดยอดแล้วละครับ เอ้าลุย…
สภาพบันไดไม้ที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานทำเอาไว้ ค่อนข้างจะแข็งแรงดี และมีราวไม้สำหรับจับไปตลอดทาง แต่ความชันของภูเขาลูกนี้พูดได้คำเดียวว่าใครเห็นก็ต้องท้อทันที เคยมีหลายคนที่มาถึงนี่และก็ไปต่อไม่ไหว ทั้งๆ ก็เหลืออีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงบริเวณวัดป่าถ้ำธารลอดใหญ่อยู่แล้ว เขาลูกนี้จึงเปรียบเสมือนตัวตัดกำลังก็ว่าได้ สุดยอดเขา พวกเราก็มองลงไปทางที่ไต่ขึ้นมาตะกี้ พลางนึกในใจว่าขึ้นกันมาได้ยังไงละนี่ เมื่อมองไปดูทิวทัศน์โดยรอบ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ก็น่าดูไม่ใช่น้อย ซึ่งมีหุบเขาสลับซับซ้อนเหมือนดั่งมีคนมาจับเรียงเอาไว้ (จิตนาการไปนั่น) เส้นทางจากนี้เป็นต้นไปก็ไม่มีขึ้นเขาแล้วละครับ เดินเรียบตลอด อาจจะมีขึ้นเนินเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่หนักหนาสาหัสเท่าใดนัก ตลอดเส้นทางเดินเรียบไปตามลำห้วยที่มีโขดหินใหญ่ๆ เรียงซ้อนกันเป็นแถบๆ ซึ่งบางครั้งก็ต้องเดินลัดเลาะอ้อมไปตามเส้นทางเล็กๆ บ้าง

ความจริงแล้วตลอดเส้นทางที่เดินมานั้นแต่ก่อนเคยชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่าที่อาศัยตามยอดไม้สูง โดยเฉพาะกระรอกดง หรือพญากระรอก ลิง ชะนี ค่าง แต่ตอนนี้ผมแทบจะไม่เห็นเงาเลย เหตุผลเดียวก็คือ คนนั่นเอง การส่งเสียงดังของนักท่องเที่ยวซึ่งบางครั้งตะโกนกันเสียจนได้ยินไปยังอีกฝากเขาเลย คิดว่าถ้าสัตว์ป่าเขาด่าได้ก็คงลงมาด่าเราแล้วละครับ ผมบรรจงหวดไม้ลงบนระฆังที่แขวนไว้ในถ้ำธารลอดใหญ่ อันเป็นธรรมเนียมของนักท่องเที่ยว ซึ่งถ้าได้มาถึงที่นี่แล้วก็ต้องตีระฆัง ไม่งั้นไม่ถือว่ามาถึงที่นี่ พี่สุวีและคุณแซมปัท ก็เช่นกัน ถือว่าได้ตีกันครบทุกคน

ถ้ำธารลอดใหญ่ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเรียกว่าถ้ำ เพราะภายในนั้นสว่างโล่ง ไม่มีความมืดแม้แต่นิดเหมือนอย่างถ้ำทั่วๆไป ดูผิวเผินแล้วก็เหมือนหน้าผาธรรมดา แต่ต่างที่มันเป็นชั้นหินพาดยาวข้ามลำห้วยจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งค่อนข้างจะมหัศจรรย์เลยทีเดียว ทั้งยังระหว่างชั้นหินที่ฟาดข้ามลำห้วยนั้นมีปล่องตรงกลาง ทำให้แสงแดดส่องเข้ามาดูสวยงาม บริเวณนี้สมัยก่อนเคยเป็นทางเดินทัพของทหารพม่า และที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณ จากหลักฐานต่างๆ ที่ขุดพบบริเวณนี้ ทั้ง
ยังมีเรื่องเล่าของชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงเล่ากันว่า บริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของงูขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่าพยานาค ซึ่งทุกๆ ปีนั้น (จำไม่ได้ว่าเดือนอะไร) จะมีชาวกระเหรี่ยงมาทำพิธีบูชากราบไหว้พยานาค เพื่อที่จะทำให้ฝนฟ้าตกอุดมสมบูรณ์ จากถ้ำธารลอดใหญ่มายังวัดป่าถ้ำธารลอดใหญ่ประมาณซักร้อยกว่าเมตร

พวกเราก็มานั่งพักเอาแรง เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเดินกันต่อไป ซึ่งวัดป่าถ้ำธารลอดใหญ่นี้ก็เป็นวัดเดียวที่อยู่กลางป่าดงดิบ (ถ้าใครต้องการความเงียบสงบ ไม่ต้องการพบปะผู้คน แนะนำให้มาบวช หรือเจริญกรรมบานที่วัดแห่งนี้) หลังจากที่พักเหนื่อยกันพอบรรเทาอาการปวดเมื่อยแล้วพวกเราก็เริ่มเดินทางกันต่อไป จากเส้นทางบริเวณหลังวัดป่าถ้ำธารลอดใหญ่ เดินเลาะไปตามทางที่กุฎิหลังสุดท้าย (เขาว่ากุฎินี้ผีดุมากเพราะเคยมีคนอกหักแล้วมาบวชเป็นพระ และไม่สามารถทำใจได้เลยกินยาเบื่อหนูตายที่กุฎิหลังนี้ ผมเองเคยผ่านมาหลายครั้ง ตอนกลางคืนก็บ่อยนะ แต่ก็ไม่เคยเจออะไร) ปกติแล้วที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของนักท่องเที่ยวที่จะมาได้เพราะจากนี้ไปก็เข้าสู่ป่าดิบลึกแล้ว

หลังจากนั้นก็จะมีเส้นทางเล็กๆ ที่ชาวกระเหรี่ยงทำเอาไว้สำหรับเดินไปหาของป่า ซึ่งจะมีคนในพื้นที่เท่านั้นที่สามารถจะเข้าไปได้ เพราะมันเริ่มเข้าสู่ป่าดงดิบจริงๆ ผมยึดการเดินเลาะตามริมห้วยเป็นหลัก เดินไปตามเส้นทางเก่าๆ ซึ่งมองดูเผินๆแทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นทางเดิน เพราะมีใบไม้แห้งทับถมจำนวนมาก ทำให้สังเกตุค่อนข้างยาก บางแห่งก็ต้องเดินข้ามห้วย บางแห่งก็ต้องเดินไปตามริมห้วย พื้นที่ป่าที่เดินผ่านส่วนใหญ่จะเป็นป่าไผ่ซาง และไม้ยืนต้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะต้นไทร ที่แปลกอย่างหนึ่งคือพวกเราไม่เจอนกเงือกเลยซักตัว ซึ่งปกติแล้วบริเวณนี้จะมีนกเงือกชุกชุมมาก ไม่ว่าจะมาครั้งใดผมมักจะเจออยู่เสมอ ถึงแม้จะไม่เห็นตัวก็ยังคงพอจะได้ยินเสียงร้องบ้าง แต่ตอนนี้มันเงียบเลยจริงๆ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสัญญาณบอกว่าบริเวณป่านี้ไม่มีความอุดมสมบูรณ์แล้วนะ… ให้ตายเถอะนกเงือกอยู่ไหน……

สภาพบรรยากาศก็เริมมืดสลัวลงแล้ว ถึงแม้จะแค่ 4 โมงเย็นกว่าๆ ในป่าดินนั้นจะมืดไวมากเพราะต้นไม้ขึ้นหนาแน่นช่วยบังแสงอาทิตย์ได้เป็นย่างดี ก็คิดว่าควรจะหาที่พักแล้วเพราะขืนช้ากว่านี้มืดแน่ๆ ผมเลยเร่งเดินเพื่อจะหาที่พักให้เหมาะสมก่อนที่จะมืดไปกว่านี้ ซึ่งก็เจอเพลิงหมาแหงนที่เคยมีชาวบ้านมาตั้งแคมป์และทำทิ้งไว้ไม่น่าจะเกิน 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็เลยได้อาศัยพักที่นี่ซะเลยและบริเวณนี้ชัยภูมิก็ค่อนข้างเหมาะเพราะอยู่ใกล้กับลำห้วยอันเป็นปัจจัยสำคัญ และก็ไม่มีไม้ใหญ่อยู่มากนั้น (อันนี้สำคัญ ที่พักในป่าไม่ควรอยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ๆ เพราะบางครั้งอยู่ดีๆ ฝนก็ตกแรง ลมแรงต้นไม้หักมาทับคนตายมานักต่อนักแล้ว)

หลังจากนั้นก็ปลดสัมภาระเตรียมตั้งแคมป์บริเวณนี้ทันที โดยผมได้ลากหินจากห้วยมาทำเตาแบบสามเส้าและก่อไฟเพื่อใช้สำหรับหุงข้าวทำอาหาร ซึ่งทุกคนต่างก็หิวและก็เหนื่อยล้ากันมาก ส่วนคุณแซมปัทและพี่สุวีก็จัดแจงเตียมที่นอน โดยที่คุณแซมปัทนั้นได้เตรียมผูกเปลสำหรับนอนในคืนนี้ (เรื่องเปลนี่ผมเป็นคนบอกเองว่าเข้าป่า ถ้าจะให้นอนสบายไม่มีแมลงมารบกวนดีที่สุดคือผูกแปลนอน แต่ทว่าลืมบอกแกว่าในป่าดิบต้องใช้เปลผ้าใบสนามซึ่งสร้างความอบอุ่นได้ดีอย่างที่ทหารเขาใช้กัน แกไม่รู้เลยเอาเปลตะข่ายที่เอาไว้ผูกนอนตามชายหาดมา -*- ซึ่งความหนาวเย็นในป่า และก็น้ำค้างแรงขนาดนั้นถ้าใช้เปลตาข่ายไม่มีทางนอนหลับได้อย่างแน่)

อาหารมือแรกเป็นแบบง่ายๆ มีข้าวยสวย ปลากระป๋อง หยวบกล้วยป่า และพี่สุวีเอาหมู SPAM กระป๋องมาผัดรวมกับถั่วขาวในซอสก็อร่อยดี ซึ่ง ณ เวลานั้นต่อให้มีแค่ข้าวเปล่าก็อร่อยแล้วละ หลังจากอิ่มแล้วร่ายกายได้รับพลังงานเต็มที่ พวกเราก็มานั่งคุยกันเรื่อยๆ ผมไปหาใบตองมาปูไว้ให้พี่สุวี และคุณแซมปัทนอนคืนนี้ ก็จะได้หลับสบายหน่อยเพราะคืนนี้ต้องหนาวแน่ๆ และจัดเตรียมหาฟืนเอาไว้ก่อไฟผิงซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำเสมอเวลาอยู่ในป่าลึกๆ เช่นนี้ ทั้งช่วยความอบอุ่น ไล่แมลง หรือแม้กระทั่งไล่สัตว์ป่าต่างๆ (บังเอิญผมไปเจอรอยเสือโคร่ง ตอนที่เดินมาห่างจากที่พักประมาณ 1 กม กว่าๆ แต่ไม่ได้บอกใคร กลัวพวกเขาตกใจกัน เดี๋ยวจะไม่เป็นอันนอน)

ในที่สุดท้องฟ้าก็มืดสนิทเสียงแมลงร้องระงมป่า พร้อมกับเสียงสัตว์ป่ากลางคืนก็เริ่มส่งเสียงออกหากิน สังเกตุได้จากจะได้ยินเสียงสัตว์กระโดดตามยอดไม้ พวกเราก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนต่างคนก็แยกย้ายกันนอน ผมเดินดูสถานที่พักอีกรอบเพื่อดูความปลอดภัยแล้วก็มานอนในเปลสนาม ตาก็มองไปบนท้องฟ้าที่เห็นดาวต่างๆ ตามช่องว่างของกิ่งไม้ที่ขึ้นอยู่หนาทึบงีบหลับไป ช่วงราวๆ เที่ยงคืนอากาศหนาวจัดมาก ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงก๋องแก็ก พยามเงี่ยหูฟังว่าเป็นเสียงอะไร แล้วเปิดผ้าใบที่เอาคลุมหน้าไว้ออกมาดู เห็นคุณแซมปัทกำลังลากฟืนมาสุมไฟ ซึ่งตอนนี้มอดไปเยอะแล้ว ผมลุกขึ้นมาช่วยแก คุณแซมปัทบอกว่าแทบไม่ได้นอนเลย และก็นอนไม่หลับเพราะว่ากลัว (ปกติแล้วคนที่ไม่เคยนอนในป่ากลางคืนก็จะกลัว

กับบรรยากาศแบบนี้ ทั้งเสียงร้องแมลงสัตว์ป่า นาๆ ก็ทำให้หลอนได้เหมือนกัน บางทีลมพัดทำให้กิ่งไม้ไหวๆ เหมือนมีคนเดินอยู่ หรือแม้กระทั่งเสียงบ่างที่ร้องเสียงโหยหวนเหมือผู้หญิงท้องที่กำลังคลอดลูก แม้กระทั่งดาวบนท้องฟ้าที่เห็นลอดมาตามกิ่งไม้เหมือนลูกกะตาที่กำลังจ้องมอง ก็ทำให้หลอนได้เหมือนกัน) ซักพักก็แยกย้ายกันไปนอนต่อ
รุ่งเช้าอีกวันในที่สุดก็ได้ยินเสียงนกเงือกร้องปลุก พร้อมกับเสียงกระพรือปีกดังสนั่นป่าผมลุกขึ้นไปก่อไฟที่มอดดับเกือบจะหมดแล้ว

ส่วนคุณแซมปัน กับพี่สุวีก็ไปล้างหน้า แปรงฟันกันที่ลำห้วยอันมีน้ำเย็นไหลผ่าน (ปกติแล้วเวลาเข้าป่าผมไม่เคยล้างหน้า แปรงฟันหรืออาบน้ำเลยนะ … อย่าเพิ่งร้องยี้ อิอิ พอกลับออกมาก็ปกตินะ) พวกเราเอากาแฟมาแต่ไม่มีถ้วยชง -*- ผมเลยไปตัดปล้องไม้ไผ่เอามาทำถ้วยกาแฟแบบง่ายๆ เอาไว้มาชงกาแฟกินกัน แต่ดูเหมือนว่าคุณแซมปัทจะตื่นเต้นสุดๆกับถ้วยกาแฟไม้ไผ่ (บางครั้งคนในเมืองเห็นสิ่งของที่คนบ้านนอกใช้เป็นเรื่องปกติว่าแปลกพิศดาร… จงรู้ไว้ว่าพวกเราคนบ้านนอกได้แอบยิ้มกระยิ่มนึกในใจว่า.. “แค่นี้ก็แปลกใจบ้านนอกจริงๆ” อิอิ) หลังจากนั้นก็เดินดูป่ารอบๆ นั้นซักพักก็มาหุงหาอาหารกิน นั่งคุยกันแล้วก็เตรียมเก็บข้าวของกลับบ้าน (มีเวลาน้อยไปวันเสาร์-อาทิตย์ เลยไปไกลไม่ได้)
ผมพาเดินมาคนละทางกับขามา ซึ่งเป็นทางรถเรียบโล่งสบาย ไม่ต้องมุดต้นไม้ซักเท่าไหร่ แต่ระยะทางจะอ้อมกว่านิดหน่อยประมาณซัก 2 กิโลกว่าๆ แต่ก็ถือว่าเดินสบายเพราะส่วนใหญ่แล้วจะลงเขา ทำให้การเดินกลับไม่เหนื่อยนัก