
เขาลูกนี้ไม่ค่อยจะมีใครขึ้นมานัก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกชาวกระเหรี่ยงที่ใช้เป็นเส้นทางเข้าไปหาของป่าในดงดิบเท่านั้น และเส้นทางยังกันดารอีกตะหาก แต่สิ่งหนึ่งที่ดลใจผม ให้ขึ้นไปบนเขาลูกนี้ก็คือสภาพพื้นที่และเรื่องราวอาถรรพ์ ต่างๆที่ได้ฟังจากคนที่เคยไปมา ซึ่งเมื่อก่อนนั้นได้มีนักแสวงหาสมบัติหลายกลุ่มได้มาขุด ค้น หาของโบราณจากเขาลูกนี้ บางคนก็ได้ของมีค่าต่างๆ ไป แต่ส่วนมากจะขุดเจอโครงกระดูกมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ที่ถูกฝังเก็บไว้ในหม้อดินหรือโอ่ง จานชามแตกๆ แต่ทว่าทุกรายที่นำของมีค่าออกจากเขาลูกนี้ ต่างก็ประสบเคราะห์กรรมไปตามๆ กัน บ้างก็เป็นบ้า หรือไม่ก็ถึงขนาดกับเสียชีวิตไปเลย

อาของผู้เขียนเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณซักเกือบ 10 กว่าปีมาแล้ว อากับเพื่อนๆ ประมาณ 6-7 คนได้ไปเที่ยวป่ากัน โดยมีพรานกระเหรี่ยงเป็นคนนำทาง ซึ่งต้องใช้เส้นทาง เขาโบราณเป็นทางผ่านเข้าไปสู่ป่าดงดิบ ช่วงขาไปนั้นก็ราบรื่นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ตอนขากลับนั้น ก็มืดแล้วประมาณ 1-2 ทุ่มได้ (ถ้าใครเคยไปป่าดงดิบตอนกลาง คืน จะรู้ว่าเป็นอย่างไร) ความวังเวงบวกกับความเงียบทำให้อานึกสนุกขึ้นมา ชวน เพื่อนที่ไปด้วยกันคุยกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งมาถึงบริเวณเขาโบราณ อาผมก็ พูดขึ้นว่า “เสียดาย.. ไม่ยอมกลับไปทางวัด ไม่งั้นก็คงได้ไปจีบแม่ชีแล้ว ไม่ต้องมาเดินข้ามเขาห่วยๆ ลูกนี้หรอก”
เพื่อนทุกคนพากันหัวเราะ แต่ทว่าพรานกระเหรี่ยงที่มาด้วยกันต่างเดินเงียบและพยายามเร่งฝีเท้าจนพวกอาตามแทบไม่ทัน จนถึงกลาง เขาโบราณ ฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะตก ก็ดันตกลงมาดื้อๆ และเสียงท้องฟ้าก็ดังคำราม ขึ้นสนั่นป่า ทุกคนถึงกับชงักและแล้วไฟฉายทั้ง 7 กระบอกที่ถูกคนถืออยู่ หลอดไฟก็ขาดทั้งหมด แม้กระทั่งหลอดสำรองที่เตรียม มาเมื่อนำมาเปลี่ยนพอเปิดปุ้มก็ขาดอีก ตอนนี้แสงสว่างอย่างเดียวที่จะนำทางไปได้ก็คือแสงจากฟ้าแลบ ทุกคนจับเอวกันเพื่อ ป้องกันไม่ให้เดินออกนอกเส้นทาง และข้างทางก็เป็นเหวด้วย ถ้าตกลงไป ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะ พอฟ้าแลบครั้งหนึ่งก็เดินได้ 1 ก้าว ฝนก็ยังตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย กว่าจะลงจากเขาได้ทุกคนก็งอมไปตามๆ และก็ต่อว่าอากันต่างๆ นาๆ อาบอกว่ามันบังเอิญต่างหาก แต่ความจริงแล้วอาเองก็เชื่อแล้วว่าเขา ลูกนี้อาถรรพจริงๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอาก็ไม่เคยไปเขาลูกนั้นอีกเลย

ผมได้กลับไปบ้านที่กาญจนบุรี ซึ่ง จุดประสงค์หลักก็คือ จะไปลุยเขาโบราณนี่แหละ เพราะเคยไปมาแล้ว 2 ครั้งแต่ไม่ทันได้ดูอะไร และไม่มีแรงจะดูด้วย แค่ไต่ไปถึงยอดก็หน้ามืดแล้ว ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรเลยเหนื่อยสุดๆ ครั้งแรกก็ไปด้วยความบ้าบิ่นเพราะคำท้าของเพื่อน มันมาบอกว่ามีชาวกระเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งจะเข้า ไปตีผึ้งในดงดิบก็เลยตามไปด้วย พอกลับมาก็ไข้ขึ้นหลายวันกว่าจะหาย ครั้งที่ 2 ก็ไปกับเพื่อน 2 คน แต่ว่าดันไปเจอฝนตกเสียหนักเลยต้องถอยหลังกลับมา ตั้งแต่นั้น ซึ่งผ่านมา 5 ปีแล้ว ที่ผม ไม่เคยอย่างกรายเข้าไปอีกเลย ครั้งนี้ครั้งที่ 3 ผมต้องไปดูเสียให้หายอยากให้ได้ ไม่ว่าฝนจะตก หรือฟ้าจะถล่มก็ตาม คืนนั้นเลยรีบนอนแต่หัวค่ำกะว่าจะตื่นแต่เช้า แดดจะได้ไม่ร้อนมากจน เกินไป

ผมตื่นแต่เช้าประมาณ 9 โมงหน่อยๆ (เช้าจริงๆ) หลังจากทำการภารกิจเสร็จแล้วจะดิ่งไปยัง เขาโบราณทันที โดยมีย่ามคู่ใจที่เก็บกล้องถ่ายรูปและมีดกุ๊กกิ๊ก(ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ไอ้ที่มีทั้งมีด เลื่อย ที่เปิดปลากระป๋องไปยันไม้แคะฟัน และยังจะอะไรอีกมากมาย) นี่แหละแค่ 2 อย่างที่ผมเตรียมไป พยามไปให้ ตัวเบาที่สุดแม้กระทั่งน้ำดื่มยังขี้เกียจถือไปเลย (เป็นความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอก และเลียนแบบ) ช่วงเดือนนี้ลมจะแรงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับนักเดินป่า ผมเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ด้านขวามือเป็นลำห้วยที่แห้งสนิท จะเหลือแต่โขดหินที่ ตั้งอยู่เรียงราย นี่แหละที่เขาเรียกว่า “ห้วยแห้ง’ พลันสายตาเหลือบไปเห็นต้นหว้าซึ่ง นกหลายชนิดเกาะกินกันอย่างเอร็ดอร่อยบวกกับเสียงร้องที่ดังระงมไปทั่วป่า บรรยา กาศนี้ไม่ต้องพูดถึง….ยิ่งกว่าวงออเกสตร้ามาบรรเลงซะอีก สภาพป่าแถบนี้เรียกว่า แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เคยมาอย่างไรมันก็อยู่อย่างนั้น ถัดจากเส้นทางผมเดิน ข้ามลำห้วยไปยังอีกฝากหนึ่งซึ่งเขาสู่ป่าเบญจพรรณซึ่งมีไม้ขนาดใหญ่หลายชนิด ไม่ ว่าจะเป็นไทร ตะแบก ตะเคียน รวมทั้งพืชหน้าดินที่ขึ้นอยู่กระจัดกระจายทั่ว เส้นทาง ที่ผมเดินไปนั้นมีทางแยกเล็กๆอีกหลายแห่ง ผมเองก็ชักจะลืมๆแล้ว จำไม่ได้ว่าแยกไหนมันไปทางเขาโบราณกันแน่ ก็เลยทำ เครื่องหมายเอาไว้ จะได้จำได้เมื่อหลงกับมาที่เดิม

ทางที่เดินเริ่มจะไม่เป็นทางอีกแล้ว เมื่อผมเดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ เส้นทางก็หายไปเหลือเพียงแต่ป่าที่รกอยู่เบื้องหน้า ใจหนึ่งก็อยากเดินย้อนกลับไปเริ่มใหม่ แต่ด้วยความที่หยิ่งยะโสโอหังก็เลยเดินลุยป่านั่นแหละ เป็นไงเป็นกัน บางแห่งก็ต้อง คลานลอดขอนไม้แห้งกระเสือกกระสนจนออกมาพบกับเส้นทางใหม่ จึงจำได้เลยว่าทางนี้แน่นอน เพราะต้นไทรยักษ์ต้นนี้ที่เคยผ่านเมื่อครั้งก่อน ว่าแล้วก็ไม่รอช้า สองเท้าก้าวลุยไปอย่างแข็งขันมาจนถึง เขาไม้นวลก็เดินข้ามเขาลูกนี้พอเรียกน้ำย่อยก่อนที่จะขึ้นเขาโบราณ พอลงจากเขาลูกนี้ มาก็จะพบกับลานหิน ผมจึงหยุดนั่งพักตรงนี้พอหอมปากหอมคอ แล้วจึงเดิน ไปต่อ นั่นแหน่..ผมเห็นฝ่าเท้าเขา(ตีนเขา)โบราณอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมรีบเร่ง ฝีเท้าเข้าไปอีกเหมือนกับกลัวว่าภูเขาลูกนี้มันจะวิ่งหนี และแล้วฝนเจ้ากรรมนายเวรก็ ดันตกลงมาอีก สนุกจริงๆ เดินตากฝนไป แต่ยังดีนะที่แค่ตกปรอยๆ ไม่งั้นกล้องห่วยๆ ของผมคงเดี้ยงแน่ เส้นทางขึ้นเขาลูกนี้มันเลือนลางมาก แสดงว่าไม่ค่อยมีใครผ่านมา ซักเท่าไหร่นัก ผมชักเริ่มมีอาการระบบที่ข้อเท้าแล้ว แต่ก็ยังมุ่งหน้าเดินต่อไปยังจุด หมายที่ตั้งเอาไว้ อย่างมากก็แค่ตัดขาทิ้งละหว่า (เห้อ…) ตลอดเวลาทั้งฝนและลมที่ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด แถมครึ้มลงเรื่อยๆ ผมเดินจนสุดดงไผ่นวลแล้วเข้าสู่ป่าเต็งรัง ซึ่งดู แล้วบอกได้ว่ามันสบายตาจริงๆ ไม่ได้โกหกนะ และขาของผมก็เริ่มชาเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามันกะลังจะตายยังไงยังงั้นแหละ เลยต้องนั่งพักก่อน …..
ไหล่เขาโบราณt
ผมมองกลับไปยังเส้นทางที่เพิ่งจะเดินผ่านมาตะกี้ ถัดไปทางด้านเขากำแพง ซึ่งจะดูตรงไหนก็มีแต่ป่ากับเขา ใจหนึ่งก็คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้ามันจะคงอยู่สภาพนี้ หรือเปล่า ? การทำลายป่าไม้นั้นมีเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ผมไม่ อยากจะคิดต่อไปเลยว่า…ถ้าป่าหมดไปจะเป็นอย่างไร ?

เสียงหักกิ่งไม้ดังมาทางด้านหลังของผม เอาละหว่าเสือหรือเปล่านี่ ในใจผมก็คิดถึง เจ้าสัตว์ลายพลาดกลอนทันที ผมค่อยๆ หันหลังไปมองดู เริ่มตั้งที่ฝ่าเท้า ในอัตราความเร็ว 60 กม/ชม ทันใดนั้นเสียงไอค็อกแค๊กก็ดังขึ้นมา โธ่ลุงนะลุง เล่น ทำผมหัวใจแทบวาย จากการที่ได้สอบถามลุงแก ซึ่งเพิ่งกลับจากการไปดูดงกระวาน*ในป่าดงดิบ ช่วงนี้ลมค่อนข้างจะแรงมาก การไปป่านั้นค่อนข้างจะลำบากทีเดียว บวกกับสภาพความแห้งแล้งของสภาพดินฟ้าอากาศ
สายลมพัดเอื่อยๆ ผมพยามเร่งฝีเท้าไปให้ถึงยอดเขาให้ไวที่สุด เพราะดูท่าทางสภาพอากาศแล้วก็ไว้ใจไม่ค่อยจะได้ จนกระทั่งมาจนสุดยอดเขา ก็ได้สำรวจดูบริเวณรอบๆ รู้สึกว่าจะเก่ามากแล้ว มีกอหญ้าขึ้นปกคลุม ร่องรอยที่นักแสวงหาสมบัติได้ขุดทิ้งเอาไว้ ซึ่งแทบดูไม่ออกเลยว่า ที่แห่งนี้จะมีร่อยรอยการค้นหาสมบัติของนักแสวงหาทั้งหลาย แต่ถ้าสังเกตให้ดีๆ แล้วก็จะพบกับเศษหม้อดินต่างๆ แตกกระจายอยู่ทั่วไปบริเวณยอดเขาลูกนี้ ตามความคิดของผมแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยที่ว่า จะมีมนุษย์กลุ่มใดขึ้นมาอาศัยอยู่บนยอดเขาที่สูงเช่นนี้ เรียกได้ว่าบนเขาลูกนี้แทบจะไม่มีปัจจัยใดๆ เลยที่มนุษย์หรือสัตว์ป่า จะมาอาศัยอยู่ได้ ร่องรอยการขุดหาแร่ควอซ หรือที่เรียกกันว่าเขี้ยวหนุมาน ร่องรอยการขุดหาสมบัติ ของนักแสวงหา

กับความแห้งแล้งบนเขา พื้นดินแต่ละแห่งส่วนมากจะเป็นหินที่ขรุขระ และสิ่งมีชีวิตซักตัวยังมองหาได้อยากเลยบนเขาลูกนี้ แต่ถ้าเดินข้ามเขาลูกนี้ไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ซึ่งเส้นทางนั้นต้องเดินเรียบไปตามขอบหน้าผา จะพบลำห้วยที่ชื่อว่า ห้วยทองหลาง ไหลเลาะผ่านลงมาทางส่วนหน้าผาช่วงขวามือขาไป จากช่วงยอดเขาโบราณมาจนถึงลำห้วยสายนี้ไม่ใช่ใกล้ๆ และเส้นทางการเดินยังลำบากเลย บริเวณห้วยทองหลางมีพืชหลายๆ ชนิดที่สามารถนำมากินได้ โดยเฉพาะมะไฟป่า และพืชในตะกูลเฟิร์ชจำพวก ผักกูด ผักหนาม ขนาดลำต้นผักพวกนี้ รู้สึกว่ามันจะใหญ่เสียจนผิดปกติ สาเหตุเพราะว่ามันเติบโตในป่าดงดิบนั่นเอง
สำหรับผมแล้ว ทุกครั้งที่ได้มาเขาลูกนี้ ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าเส้นทางกว่าจะข้ามเขาลูกนี้ไปได้จะลำบากเพียงใด แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ผมก็จะนึกถึงที่แห่งนี้ที่แรก
กระวาน* เป็นพืชชนิดหนึ่งครับ ลักษณะลำต้นคล้ายๆ กับต้นข่าที่ปลูกเป็นผักสวนครัวตามบ้านเรานี่แหละครับ แต่กระวานเป็นพืชที่ชอบความเย็น ชาวบ้านเลยใช้วิธีการโดยนำไปปลูกในป่าดงดิบ ซึ่งมีความเย็นชื้นอยู่ตลอดปีอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากออกลูกแล้ว ก็จะเก็บมาตากแดดแล้วส่งขายต่อไป ซึ่งเป็นพืชที่ราคาค่อนข้างแพง กิโลละหลายร้อยบาทเลยทีเดียว ประโยชน์ของกระวานก็คือเป็นส่วนผสมอย่างหนึ่งของเครื่องเทศครับผม.