กับการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบรวดเร็ว ทำงานหาเงินงกๆ แค่นี้เวลาชีวิตในแต่ละวันก็หมดไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ ผมจะสนในธรรมะขึ้นมาในวัย 40+ แต่ก็ไม่ถึงขั้นสุดโต่ง เรียกว่าอยู่ในช่วงตั้งไข่ก็ได้นะ
เอาจริงๆ แล้วถ้าย้อนกลับไป ผมมักจะคลุกคลีกับธรรมะอยู่เป็นเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบวช เป็นเด็กวัด แม้ในกระทั่งตอนเรียนยังมีการสอบธรรมะ ชั้นตรี (ซึ่งไม่ผ่าน เพราะเขียนกระทู้ได้ห่วย) ถึงตอนทำงานแล้วก็ยังมีการตักบาตร ทำบุญ อยู่เสมอมา แต่ก็ไม่ได้สนใจธรรมะอย่างจริงจังอะไรนัก
แล้วอะไรเป็นตัวจุดประกายให้สนใจธรรมะอย่างจริงจัง มีคนเคยบอกว่าคนเราจะสนใจธรรมะก็ต่อเมื่อได้เข้าใกล้สู่ความตาย ความสูญเสีย เหตุการสำคัญต่างๆ ในชีวิต แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมได้รับรู้เรื่องบางอย่างโดยการนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมทำอยู่เสมอ เหมือนรับรู้ได้เอง และทำให้มองเห็นสิ่งรอบๆ ด้านที่มันเปลี่ยนไปจากเดิม
สิ่งหนึ่งที่ได้เพิ่มเข้ามาคือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นๆ จากที่แต่ก่อนเรามัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตของตัวเอง ซึ่งหากมองชีวิตในแต่ละคนที่มีความยาก ลำบากที่แตกต่างกัน อันนำมาซึ่งการช่วยเหลือแบ่งปัน สิ่งเหล่านี้อันเป็นพื้นฐานของธรรมะ
ในสมัยพุทธกาล การวัดความรวย วัดได้จากว่าใครมีโรงทานจำนวนเท่าไหร่ ใครยิ่งมีจำนวนโรงทานเยอะก็ยิ่งรวย
แล้วธรรมะคืออะไร ?
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ เป็นความรู้เรื่องราวหรือแม้กระทั่งคู่มือให้เราดำเนินชีวิตไปตามครรลองอย่างบุคคลผู้มีอริยะ จะเห็นได้จากสิ่งง่ายๆ ที่เราทุกคนรู้จักเช่น ศีล 5 ใครที่สามารถปฎิบัติตามได้ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่ประเสริฐแล้ว
มีคนเคยถามพระพุทธเจ้าว่าจะอธิบายธรรมะทั้งหมดที่มันมีมากมายหมาศาลได้อย่างไรในประโยคเดียว พระพุทธเจ้าตอบว่าได้ คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวง บุคคลมิควรยึดมั่น ถือมั่น
จะเห็นได้ว่า ธรรมะไม่ใช่สิ่งอะไรที่แปลกประหลาดเลย เป็นสิ่งพื้นฐานเลยที่มุษย์เราควรมี เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้